วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

โปรแกรมตัดวีดีโอ ส่วนที่ไม่ต้องการ


Cute Video Dub Free (โปรแกรมตัดวีดีโอ ส่วนที่ไม่ต้องการ) : โปรแกรมนี้เป็น โปรแกรมที่เอาไว้ใช้ในการตัดต่อวีดีโอ โดยคุณสามารถตัดวีดีโอ ส่วนที่ไม่ต้องการออกไปได้ เรียกได้ว่าน้ำไม่เอา เน้นเนื้อๆ แทน การใช้งานมันก็เหมือน โปรแกรมดูหนัง ทั่วๆ ไปนั่นเอง ที่ให้คุณได้ดูลิปวีดีโอไปเรื่อยๆ แต่ว่ามันมีความสามารถ ที่ให้คุณได้กำหนดช่วงเวลาที่เริ่ม (Start Time) และ ช่วงเวลาสิ้นสุด (End Time) เพื่อให้คุณได้คัดหรือตัดวีดีโอเอาเฉพาะไฮไลท์ จริงๆ มาเก็บไว้ดูทีหลังนั่นเอง หากต้องการแล้วก็สามารถกดปุ่ม "Convert" ได้เลย โดยไม่ต้องมา Encoding กันใหม่ โดยหลังการตัด โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ ตัวนี้จะยังคงรักษาคุณภาพเดิมของคลิปวีดีโอ ของคุณเอาไว้ และสูญเสียคุณภาพ น้อยที่สุด และเซฟบันทึกออกไปเป็นไฟล์วีดีโอไฟล์ใหม่ โดยไม่ได้ยุ่งอะไรกับไฟล์วีดีโอของเก่า
โปรแกรมนี้สนับสนุนไฟล์วีดีโอชั้นนำ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตระกูล DivX XviD MOV MPEG-4 MPEG WMV H.263 H.264 AVI WMV และไฟล์ ASF ซึ่งไม่ต้องใช้ โปรแกรมแปลงไฟล์ อื่นใดมาเสริม มาช่วยเลยแม้แต่น้อย และนอกจากนี้แล้วทางผู้พัฒนายังเคลมว่า โปรแกรมนี้ไม่มีโฆษณาแฝง สปายแวร์ ใดๆ แอบมาแน่นอน เรียกได้ว่าฟรี 100% จริงๆ 



ที่มา:http://software.thaiware.com/3944-Cute-Video-Dub-Free.html

โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ

Avidemux Download

โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ

โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Avidemux

Avidemux (โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ ตัดต่อวีดีโอ ) : โปรแกรมนี้เป็น โปรแกรมที่ใช้ตัดต่อวีดีโอ จากเมืองน้ำหอม สัญชาติฝรั่งเศส ตัวนี้มีชื่อว่า Avidemux เป็น โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ ที่มีขนาดเล็กมากๆ (ไม่ถึง 100 MB.) และใช้งานง่าย โดยผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องของการตัดต่อวีดีโอ ขั้นเทพ ก็สามารถทำได้ง่ายๆ สนับสนุนไฟล์วีดีโอหลักๆ ชั้นนำทั่วโลกที่นิยมใช้กันอย่าง ไฟล์ MP4 MPEG ASF AVI FLV (ไฟล์แฟลช) เรียกได้ว่าเป็น โปรแกรมแปลงไฟล์ ดีๆ อีกตัว หรือแม้การอ่านวีดีโอจากแผ่น DVD และไฟล์วีดีโออื่นๆ ก็สนับสนุนเช่นกัน
ภายในโปรแกรม ตัดต่อวีดีโอ นี้คุณสามารถที่จะนำเสียงไปใส่ประกอบวีดีโอ หรือ นำไฟล์วีดีโอที่อัดจากกล้องสมาร์ทโฟน ในหลายๆ ไฟล์ มาตัดต่อเป็นไฟล์วีดีโอไฟล์เดียวกันได้อย่างง่ายๆ พร้อมใส่เสียงเพลง เสียง (Audio Files) ต่างๆ ประกอบเข้าไปในวีดีโอ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชมคลิปของคุณได้อีกด้วย ด้วยโปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Avidemux เพียงโปรแกรมเดียว ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้สามารถนำไปแชร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่คุ้นหูคุ้นตาอย่าง Facebook SocialCam หรือจะเป็นเว็บ วีดีโอชั้นนำของโลกอย่าง Youtube ก็ได้อีกด้วยละครับ
นอกจากนี้แล้วโปรแกรมตัดต่อวีดีโอนี้ยังทำงานร่วมกับ Codec ของ โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Camtasia ได้เป็นอย่างดี และสนับสนุนการใช้งานบนระบบปฏิบัติการหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Windows, Mac OS และ Linux รวมไปถึงระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดจากค่ายไมโครซอฟท์อย่าง Windows 8 และ Windows 8.1 อีกด้วย


โปรแกรม Avidmux


ที่มา:http://software.thaiware.com/10418-Avidemux.html

โปรแกรมตัดต่อหนัง HD


โปรแกรมตัดต่อหนัง ทำภาพยนตร์ Pinnacle Studio

Pinnacle Studio (โปรแกรมตัดต่อหนัง HD) : สำหรับ โปรแกรมนี้ถือเป็น โปรแกรมที่เอาไว้ ตัดต่อหนัง หรือ ตัดต่อภาพยนตร์ แบบความคมชัดสูงสุด HD 1080p ใส่ภาพ เสียง เทียบชั้นระดับฮอลลีวูด (Hollywood) (เว่อร์ไปหรือเปล่า) ด้วยความสามารถของ โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ ตัวนี้ที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว มีวิธีการสอนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ง่ายต่อการแก้ไขปรับแต่ง VDO ปรับแต่งเสียงหรือจะเป็นภาพถ่าย หรือ จะนำคลิปวีดีโอ จากข้างนอกเข้ามาเพื่อ ใส่เสียงเพลงประกอบได้ง่ายๆ และที่สำคัญมันยังมีระบบให้เพลงที่เลือกมาของคุณจบพอดีเป๊ะกับคลิปที่คุณมีโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมานั่งคำนวณ หรือเสียเวลาแก้ไปแก้มากับมัน
มีลูกเล่นหรือเอฟเฟค มากกว่า 1,500 แบบ ทั้งแบบ 2 มิติ (2D) และ แบบ 3 มิติ (3d) เพื่อใช้สำหรับการสร้างสรรค์ผลงาน คุณสมบัติในการตัดต่ออย่างแม่นยำมีคุณภาพสูง โดยคุณสามารถตัดต่อวีดีโอ ตัดต่อภาพยนตร์ ออกไปเป็นไฟล์วีดีโอตระกูลต่างๆ ได้มากมาย อาทิเช่น ไฟล์แฟลช .SWF หรือยังทำตัวเป็น โปรแกรมแปลงไฟล์ MP4 เพื่อเอาคลิป หรือไฟล์วีดีโอที่ตัดต่อเสร็จ ไปเปิดลงบนอุปกรณ์พกพาต่างๆ ได้มากมาย อาทิเช่น Microsoft Xbox, Sony PS3, Nintendo Wii,  Apple TV และ Apple iPad หรือถ้าไม่สะใจก็สามารถแบ่งปัน ไปยัง YouTube Facebook และอื่นๆ ได้อีกด้วย

โปรแกรม Pinnacle Studio 17

โปรแกรม Pinnacle Studio (ชื่อเดิมคือ โปรแกรม Avid Studio) หรือ โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ ที่ไม่ควรพลาดอีกโปรแกรมนึงเลยล่ะครับด้วยประสิทธิภาพ และความสามารถขั้นเทพของโปรแกรมนี้ ก่อนการเริ่มสร้างวีดีโอจริงๆ คุณสามารถสร้าง สตอรี่บอร์ด (Story Board) หรือพล็อตเรื่องคร่าวๆ ก่อนลงมือทำจริงๆ ได้อีกด้วย ทำให้ การตัดต่อวีดีโอ ของคุณโดดเด่นแบบระดับมืออาชีพได้เลยทีเดียวล่ะครับ

Program Features (คุณสมบัติและความสามารถของโปรแกรม Pinnacle Studio)
  • โปรแกรมที่เหมาะสำหรับการตัดต่อหนัง และภาพยนต์ระดับมืออาชีพ
  • ใช้งานได้ง่าย มีฟีเจอร์ให้เลือกใช้งานมากมาย ภายในโปรแกรม
  • มีความละเอียดสูง ระดับ HD 1080p
  • สามารถนำไฟล์หนัง หรือภาพยนต์มาแก้ไข และปรับปรุงได้ง่าย
  • นำเข้าไฟล์เพลงจากภายนอกมาเสริมลงในหนังของท่านได้
  • โปรแกรมจะทำการคำนวณเวลาเพลง เพื่อปรับให้พอดีกับไฟล์หนังของท่าน
  • มีเอฟเฟคมากกว่า 1500 แบบ ทั้ง 2D และ 3D
  • และยังมีความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย

โปรแกรม Pinnacle Studio 17


Pinnacle Studio 17



ที่มา:http://software.thaiware.com/11247-Pinnacle-Studio.html

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คนไทย

คนไทยเป็นใคร มาจากไหน ในแผนที่ประวัติศาสตร์ (สยาม) ประเทศไทย(รายงานการเสวนา)


วันศุกร์ที่ 14 ก.ย. งานเสวนา คนไทยเป็นใคร มาจากไหน ในแผนที่ประวัติศาสตร์ (สยาม) ประเทศไทย ถูกจัดขึ้นโดยสำนักคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ร่วมกับ คณะโบราณคดี และสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อสร้างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความเข้าใจในเรื่องของประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมของคนไทยตั้งแต่สมัยอดีตกาล และคล้ายกับเป็นการเปิดตัวหนังสือ ผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม เป็นบรรณาธิการ ที่จะนำไปให้สำนักงาน หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการเผยแพร่เป็นความรู้สาธารณะต่อไป

หนังสือเล่มนี้เป็นการมองประวัติศาสตร์ประเทศไทยโดยอธิบายผ่าน แผนที่’ แบบรื้อ มุมมองเก่า’ ที่เคยถ่ายทอดความทรงจำ ความเป็นไทย’ ชุดดั้งเดิมผ่าน แผนที่’ ของนายทองใบ แตงน้อย ที่แทบไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาก่อน หลังจากที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเริ่มต้นปูทางสร้าง ประวัติศาสตร์ไทย เป็นต้นมา


แม้ว่า สุจิตต์ วงษ์เทศ จะเคยกล่าวเอาไว้ว่า อย่าเพิ่งเชื่อ’ ทุกอย่างที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังสือเล่มนี้ได้สร้างเป็นกรอบ โครงสร้างหรือเป็นอีกหลักไมล์หนึ่งทางการศึกษาประวัติศาสตร์ (สยาม) ประเทศไทย ที่ท้าทายให้วงการวิชาการต้องหันกลับมาศึกษาเรื่องนี้กันใหม่อย่างละเอียดมากๆ อีกครั้ง

ขอเกริ่นเบื้องต้นก่อนเข้าสู่เนื้อหาในการอภิปรายว่า ภาพรวมของ หนังสือ แผนที่ประวัติศาสตร์ (สยาม) ประเทศไทย แบ่งเนื้อหาออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ คือ

ส่วนแรก มองภาพรวมของสุวรรณภูมิโดยเฉพาะประเทศไทย แยกออกเป็น 11 บท ในแต่ละบทจะประกอบไปด้วยเรื่องราวตั้งแต่สมัย 5,000 ปีก่อน เรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2400 ซึ่งเป็นยุคปัจจุบัน เนื้อความในแต่บทจะเล่าเรื่องราวและพัฒนาของคนไทยตั้งแต่เริ่มมีชุมชน จนไปถึงการเป็นรัฐประชาชาติประชาธิปไตย จนได้ชื่อว่าเป็นประเทศไทย

ส่วนที่สอง บอกเล่าเรื่องราวของ 4 ภาคของไทย คือ ภาคเหนือ (โยนก-ล้านนา) ภาคกลาง (ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) ภาคใต้ (คาบสมุทรแหลมทอง) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ลุ่มแม่น้ำโขง-ชี-มูล) จะเห็นพัฒนาการของแต่ละภาคในเรื่องของสังคม และวัฒนธรรม และให้ความสำคัญกับบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของแต่ละภาค ทำให้เห็นพัฒนาการที่ไม่เท่าเทียมกันของแต่ภาคอย่างชัดเจน

ส่วนที่สาม เป็นการเปรียบเทียบวัฒนธรรมต่างๆ ในโลกรวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยต่างๆ ดังนั้น หากมองในภาพรวมของหนังสือเล่มนี้แล้ว นอกจากจะเดินไปบนเส้นทางของการทำความรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นแล้วยังรับรู้ไปถึงเรื่องราวและวัฒนธรรมของโลกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ อีกด้วย

งานเสวนาในครั้งนี้ยังมีส่วนของการวิพากษ์ทั้งตัวหนังสือเองและอภิปรายต่อไปถึงคำถามสุดคลาสสิกเรื่อง คนไทยมาจากไหน’ คนไทยมาจากเทือกเขาอันไตหรือว่าอยู่ที่นี่มานานแล้ว ซึ่งมีวิทยากรอย่าง ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.สุรพล นาถะพินธุ คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร อ.สถาพร ศรีสัจจัง (พนม นันทพฤกษ์) ศิลปินแห่งชาติ และผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา รศ.สายชล สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ รศ.ดร.ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ สาขาประวัติศาสตร์และโบราณคดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มาร่วมแลกเปลี่ยนอภิปราย

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เริ่มต้นกล่าวเกี่ยวกับเรื่องคนไทยเป็นใคร มาจากไหน ว่า
ถ้ามีใครสักคนถามคำถามนี้ ซึ่งคงจะมีสติไม่ค่อยดีที่ถาม คนส่วนใหญ่ก็จะตอบว่า ไม่รู้สิ เป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าถามนักเรียน นิสิต นักศึกษา ซึ่งมีคะแนนกำกับอยู่ จะตอบว่า

คนไทย คือ คนที่พูดภาษาไทย นับถือศาสนาพุทธ มีเชื้อชาติไทย และรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และอาจะแถมด้วยการบอกว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม พร้อมที่จะตอบแทนคุณแผ่นดิน

แล้วถ้ามีการคะยั้นคะยออีกก็จะตอบว่า

มาจากภูเขาอันไต และอาณาจักรน่านเจ้า แล้วสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์

ดร.ชาญวิทย์ จึงตั้งข้อสังเกตว่า ตกลงคำตอบมีตายตัวอยู่แล้ว บางคนอาจคิดว่าคำถามและคำตอบแบบนี้เชยไปแล้วก็ได้จึงน่าจะเลิกถามและเลิกตอบ แต่ว่าทั้งคำถามและคำตอบนี้ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือของ ทองใบ แตงน้อย ที่ได้กล่าวไว้ว่า คนไทยมีพัฒนาและเริ่มขึ้นจากภูเขาอันไต ในมองโกเลีย เหนือแม่น้ำฮวงโห และเหนือกำแพงเมืองจีน

ตั้งแต่เมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว คนไทยได้อพยพลงมาตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซี จนถูกคนจีนรุกรานจึงอพยพมาตั้งอาณาจักรน่านเจ้า อยู่ได้ไม่นานก็ถูกจีนและมองโกเลียรุกราน ก็เลยต้องมาตั้งอาณาจักร สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์

อันนี้คือสิ่งซึ่งสร้างขึ้นมาโดย ทองใบ แตงน้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนโปรแกรมสำเร็จรูปที่ฝังลงไปในหัวของเรา” ดร.ชาญวิทย์ กล่าวและอธิบายต่อไปว่า

ต่อมาคนไทยก็สร้างอาณาจักรสุโขทัยจนเป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่กินพื้นที่ไปจนถึงมะละกาและสิงคโปร์ เรื่องนี้เป็นโปรแกรมที่ใส่เข้าไปในหัวของเยาวชนด้วยเพราะ แผนที่’ นี้ได้บรรจุลงในแบบเรียน

จากอาณาจักรสุโขทัยก็เรื่อยลงมาจากถึงอาณาจักรอยุธยา ในสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชประเทศไทยใหญ่ยิ่ง มาจนถึงสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ที่ยิ่งใหญ่ แต่พอมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็เสียดินแดน ในหนังสือของทองใบ แตงน้อย บรรจุไว้เลยว่าไทยเสีย 12 จุไทย

ถ้าถามว่า ทองใบ แตงน้อย ไปเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากไหน คาดว่าคงเอามาจากขุนวิจิตรมาตรา และหลวงวิจิตรวาทการ ทั้งนี้ ขุนวิจิตรมาตรา เป็นผู้ที่ชนะเลิศในการเขียนเรื่องหลักไทย พ.ศ.2471 ซึ่งเขียนบอกไว้ว่า คนไทยมาจากเทือกเขาอันไต

ต่อมา เมื่อมีการคิดต่อไปว่าขุนวิจิตรมาตรานำเรื่องราวเหล่านี้มีจากไหน คำตอบที่ได้ คือ ได้มาจากหลวงวิจิตรวาทการ” ซึ่งเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์สากล 5 เล่ม เป็นทางเดินของความรู้และเรื่องราวของคนไทยมาจากไหน ถ้าไล่ข้อมูลต่อไปอีกจะพบว่าหลวงวิจิตรวาทการนำข้อมูลเหล่านี้มากจากสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่เขียนไว้ในพระนิพนธ์คำนำของพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้อ่านเพราะข้ามไปอ่านเรื่องในสมัยของสมเด็จพระนเรศวร

อย่างไรก็ตาม ดร.ชาญวิทย์ ระบุว่า ส่วนของคำนำของพระราชพงศาวดารฯ เป็นส่วนที่สำคัญมาก เขียนไว้ในปี พ..2457 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวว่า คนไทยในเมืองจีนนั้นคือเมืองไทยเดิม กล่าวโดยสรุปเมื่อสมัยอยุธยา หรือสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เราไม่รู้จักเทือกเขาอันไต ไม่รู้จักอาณาจักรน่านเจ้า จนกระทั่งเมื่อลัทธิอาณานิคมได้แผ่อิทธิพลเข้ามา ลัทธิอาณานิคมอังกฤษและฝรั่งเศสที่เข้ามาพร้อมความรู้ทางวิชาการแบบใหม่ๆ ที่ว่าด้วยภาษาศาสตร์ มานุษยวิทยา โบราณคดี ฯลฯ นักวิชาการเหล่านี้ก็ได้จัดแบ่งกลุ่มคนแล้วได้มีเขียนเรื่องน่านเจ้า เทือกเขาอันไต

คนไทยในส่วนต่างๆ รวมทั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นคนไทยรุ่นแรกที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือกับพวกฝรั่งและได้รับข้อมูลเหล่านี้ จนในที่สุดได้มาปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์พงศาวดารสยามนับตั้งแต่นั้นมา ความรู้เรื่องคนไทยมาจากภูเขาอันไต น่านเจ้า อยุธยา สุโขทัย และรัตนโกสินทร์ใช้เวลาเดินทางมาร่วมร้อยปี ความรู้แบบนี้ถูกสร้างขึ้นและฝังลึกอยู่ในสมองของเรา ยากแก่การเอาออกและลบเลือน

นอกจากนี้ ดร.ชาญวิทย์ ยังได้กล่าวถึงข้อแตกต่างระหว่างประวัติศาสตร์ของทองใบ แตงน้อย และ สุจิตต์ วงษ์เทศ ไว้อย่างชัดเจนอีกว่า

ในหนังสือเล่มนี้ มี 11 บท ในบทแรกสุจิตต์ ขึ้น 5,000 ปีแรก มีชุมชนคนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิ บรรพบุรุษคนไทยและคนอุษาคเนย์ ซึ่งสุจิตต์ใช้วิธีเหมารวม แล้วก็นำเอาหลักฐานทางโบราณคดีมา เช่นหลักฐานว่าด้วยบ้านเก่าบ้าง บ้านเชียงบ้าง บอกว่านี่มีคนอาศัยอยู่ แต่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไทยหรือเปล่า เพราะยังไม่มีภาษาที่สามารถจารึกได้

พอบทที่สอง 4,000 ปี ถอยมาเรื่อยๆ มนุษย์ในแถบนี้รู้จักถลุงโลหะ ทำเครื่องมือ เครื่องใช้แทนเครื่องมือหินที่เคยใช้แต่เดิม มีศาสนา คือ นับถือ ผี นับถือดินฟ้า

4,000 ปี เริ่มมีชุมชนถลุงเหล็ก เติบโตเป็นบ้านเมือง บนเส้นทางการคมนาคมทางบกและทางทะเล มีแผนที่ในการประกอบการอธิบายเหมือนกับ ทองใบ แตงน้อย แล้วก็ขยับมาประมาณหลัง พ..1 เป็นสุวรรณภูมิมีการเชื่อมโยงระหว่างตะวันออกกับตะวันตก หมายความว่าจากด้านทะเลจีน กับมหาสมุทรอินเดีย แล้วก็มีแผนที่และชุมชนต่าง ๆ

เมื่อ พ..500 มีรัฐเล็กๆ รับพระพุทธศาสนา มีพราหมณ์ มีผี เป็นบรรพบุรุษของคนที่นี่ แล้วก็มีแผนที่อีก

หลัง พ..1000 รัฐใหญ่ในสุวรรณภูมิ เริ่มเข้าเรื่องราวของความเป็นไทย เป็นต้นทางของประวัติศาสตร์สยาม ประเทศไทย

ดูไปจนถึงบทที่ หลัง พ..1500 รัฐพื้นเมือง เริ่มควบคุมการค้าด้วยตัวเอง มีภาษาซึ่งเป็นภาษาการค้า คือ ชวา มลายูและ ไทย ลาว ซึ่งเป็นภาษาที่ใหญ่มาก จนทำให้คนอื่นหันมาใช้ภาษานี้กันเยอะมาก ทำให้มีรัฐใหญ่เกิดขึ้น

หลัง พ..1700 มีความเปลี่ยนแปลงโดยมีการเกิดขึ้นของศาสนามวลชน ซึ่งศาสนามวลชนนี้แปลว่าอิสลาม พุทธศาสนาแบบเถรวาท ในขณะที่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นั้นเป็นศาสนาของชนชั้นปกครอง ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ของศาสนามวลชน แล้วในขณะเดียวกันก็จะมีอักษรไทยและคนไทย

หลัง พ..2000 มีกรุงศรีอยุธยา ศูนย์กลางการค้านานาชาติ เรียกประเทศว่าเมืองไทย เรียกตัวเองว่า คนไทย แล้วสุจิตต์ก็ไล่มาหลัง พ..2300 เป็นกรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ ราชอาณาจักรสยาม จนกระทั่งหลังพ.ศ.2400 เกิดรัฐประชาชาติประชาธิปไตย ยกเลิกชื่อสยาม ใช้ชื่อประเทศไทย นี่คือเส้นทางของ สุจิตต์ วงษ์เทศ เมื่อเทียบกับของ ทองใบ แตงน้อย

จากนั้น ดร.ชาญวิทย์ วิเคราะห์เพื่อสรุปว่า สุจิตต์ได้ ทำอะไร และไม่ได้ทำอะไร

ถ้านำมาเทียบกับประวัติศาสตร์ของทองใบ แตงน้อย แนวการเขียนของทองใบจะเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ด้วยการใช้แผนที่เป็นกรอบ คือ แผนที่ประเทศไทยปัจจุบันเป็นกรอบ เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นประวัติศาสตร์ไทยในกรอบแผนที่ประเทศไทย และทัศนคติ อุดมการณ์ในการเมืองนั้นเป็นประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม และเสนาอำมาตยาธิปไตย เป็นชาตินิยมในรูปแบบของพระราชากับบรรดาเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย นี่คือ ประวัติศาสตร์ในแนวของทองใบ แตงน้อย

ส่วนของคุณสุจิตต์ สิ่งที่พยายามทำก็คือ การเขียนประวัติศาสตร์โดยใช้แผนที่ ซึ่งเป็นประชาชาตินิยม เพราะฉะนั้นในแง่นี้สุจิตต์ใช้มากกว่าทองใบ แตงน้อยใช้ คือ การนำโบราณคดีอันเป็นการใช้หลักฐานบางอย่างที่อยู่ใต้ดินซึ่งมีการขุดค้นอยู่บ่อยๆ นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 หรือ ประมาณ 40-50 ปีที่ผ่านมา มาใช้ในแผนที่ประวัติศาสตร์ โดยบวกกับหลักฐานด้านมานุษยวิทยา ซึ่งจุดนี้ สุจิตต์มีฐานข้อมูลที่ทันสมัยทำให้งานมีความหลากหลายที่ทำให้เห็นความหลากหลายทางชาติด้านชาติพันธ์เด่นชัดมาก และยังนำเอาประวัติศาสตร์มาเป็นกรอบในการวางแผนที่

อย่างไรก็ตามแม้จะเห็นได้ชัดเจนว่างานของสุจิตต์ ใช้ทั้งมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ใส่เข้าไปในแผนที่ของเขาที่ทำให้เห็นมากกว่าแผนที่ของทองใบ แตงน้อย แต่ก็ยังเป็นเวอร์ชั่นที่ไม่เป็นแบบประชาชาตินิยมเสียทีเดียว เพราะยังมีกลิ่นอายของราชาชาตินิยม และอำมาตยาราชาธิปไตยอยู่

ดังนั้นหนังสือ แผนที่ประวัติศาสตร์ (สยาม) ประเทศไทย” เล่มนี้คงเป็นเพียงกรอบหรือโครงที่ยังไม่มีเนื้อหาที่ชัดเจน ยังต้องการการศึกษาใหม่อย่างละเอียด ปัญหาที่เกิดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ คือ

1.ต้องทำการศึกษาถึงที่มาของคนไทยใหม่ เพราะแทบจะไม่มีใครเชื่อแล้วว่าคนไทยเดินจากเทือกเขาอันไตซึ่งอยู่ในกำแพงเมืองจีน มาจนถึงประเทศไทยในปัจจุบันได้

2.จะต้องศึกษาแผนที่ซึ่งเป็นวิวัฒนาการสมัยใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นมากับลัทธิจักรวรรดินิยม มาจากการค้นพบวิทยาการใหม่ๆ ของชาวต่างชาติที่ได้เข้ามาในเมืองไทย ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้

3.ในการศึกษาแผนที่ประวัติศาสตร์จะต้องใช้ทฤษฎีเป็นตัวส่องนำทาง งานสองชิ้นที่จะช่วยเป็นทฤษฎีในการส่องทางนั้น ก็คือ งานที่เกี่ยวกับรัฐชาติและลัทธิชาตินิยม ในหนังสือที่ชื่อว่า Imagined Community โดย Benedict Anderson และหนังสือ Siam Map ของ อ.ธงชัย วินิจกูล เพื่อที่จะเข้าใจงานของทองใบ แตงน้อย และงานของสุจิตต์ วงศ์เทศ ในจุดที่ว่าทำไมงานของทองใบ จึงมีการกล่าวว่าไทยมีการเสียดินแดน 5-6 ครั้ง แต่งานของสุจิตต์กลับไม่มีตรงนี้ จึงทำให้ควรต้องมีการศึกษากันใหม่อย่างละเอียดอีกครั้ง

สำหรับนักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่ได้มาให้มุมมองในเรื่องนี้จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏในประเทศไทย คือ รศ.สุรพล นาถะพินธุ คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้กล่าวว่า คน (ไทย) อาจจะอยู่ที่นี่ เริ่มต้นที่นี่ไม่ได้มาจากเขาอัลไต’ เพราะ พบส่วนกระโหลกของออสตราโลพิเธคัส ที่เกาะคา จ.ลำปาง อายุนับแสนปี หรือ พบโฮโมซาเปียนที่ถ้ำลอด จ.แม่ฮ่องสอนอายุ 12,000ปี และพบอารยธรรมอื่นๆ กระจายไปทั่วในหลายพื้นที่

ช่วงเวลาที่เกิดหมู่บ้านเกษตรกรรมนั้น โครงสร้างทางสังคมมีการแยกแยะตามแบบลักษณะของที่มาอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการปรากฏขึ้นของวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมหมู่บ้านเกษตรกรรมก็คือ การติดต่อแลกเปลี่ยนผลผลิตระหว่างกัน ทำให้พบเครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอยทะเลที่เหมือนๆ กันในหลายพื้นที่ ทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือภาคกลาง

เห็นได้ชัดว่ามีการติดต่อ ปฏิสัมพันธ์กันทั้งโดยตรง และโดยอ้อม ทำให้เห็นถึงการแบ่งแยกสถานะทางสังคมอย่างเด่นชัด โดยของที่ได้มาจากที่อื่นจะเป็นของที่หายากเป็นตัวแปรกำหนดให้เกิดความแตกต่าง เมื่อผู้ใดมีจะทำให้ดูมีฐานะมากกว่าผู้อื่น ทำให้เกิดสังคมที่เป็นไปในลักษณะซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญทำให้เห็นถึงการติดต่อแลกเปลี่ยนค้าขายกัน อันเป็นปัจจัยทำให้เกิดพัฒนาการทางสังคม ก็คือ ได้พบว่าในช่วงประมาณ 3,000-3,500 ปีมาแล้ว ในพื้นที่บางแห่งของประเทศไทย เกิดชุมชนที่มีความสามารถในการทำงานหัตถกรรมบางอย่าง และผลิตสิ่งของบางอย่างที่บางชุมชนต้องการ เช่น มีเหมืองทองแดงยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พลูโล้น และในบริเวณใกล้ๆ เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรีได้พบแหล่งถลุงทองแดงยุคก่อนประวัติศาสตร์มากกว่าแสนตัน

พื้นที่ที่เป็นตลาดสำคัญของทองแดงจากบริเวณเขาวงพระจันทร์นั้น สันนิษฐานว่าจะเป็นบริเวณภาคอีสานของไทย และบริเวณประเทศเพื่อนบ้าน เพราะพบของใช้ที่ทำจากทองแดงมากมาย จะเห็นว่าการปฏิสัมพันธ์กันนั้นกินพื้นที่ไกลมาก นำมาซึ่งพัฒนาการของสังคมที่มีสถานะแตกต่างกันเริ่มชัดเจนมากขึ้น

รศ.สุรพล กล่าวต่อไปว่า เมื่อศึกษาจากของใช้ของคนแต่ละภาคของไทยทำให้เห็นถึงวัฒนธรรมบางประการที่แตกต่างกัน ในช่วงระยะเวลานี้มีกลุ่มชาติพันธุ์อยู่หลายกลุ่มด้วยกัน อาจจะพูดภาษาที่แตกต่างกัน แต่เมื่อพื้นที่ต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์กันก็ทำให้เกิดพัฒนาการไปพร้อมๆ กัน

จนในช่วง 2,500 ปี มาแล้ว พัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สำคัญ คือมีการผลิตเหล็กและกระจกมากมาย อีกทั้งเกิดวัฒนธรรมที่มีที่มาจากแดนไกลในประเทศไทย วัฒนธรรมดังกล่าว เช่น อินเดีย จีนตอนใต้ เวียดนามตอนเหนือและตอนกลาง ผลที่ตามมาก็คือการเกิดชุมชนขนาดใหญ่ มีการแบ่งพื้นที่ภายในชุมชนอย่างชัดเจน โดยผู้มีอำนาจสูงสุดในชุมชนเป็นผู้แบ่งการใช้ประโยชน์พื้นที่ในระยะเวลานั้น กระบวนการในการแลกเปลี่ยนค้าขายมีการพัฒนาไปอีกในระดับหนึ่ง

ในช่วง 1,500-1,600 ปี มาแล้วประชากรในท้องถิ่นของไทยบางกลุ่มตัดสินใจที่จะรับศาสนาพุทธที่มาจากอินเดียมาเป็นศาสนาประจำชุมชน ทำให้เปลี่ยนกายภาพของชุมชนมาเป็นชุมชนขนาดใหญ่มาก มีการขุดคูล้อมรอบชุมชนจนกลายเป็นเมือง ประชากรเหล่านั้นได้กลายมาเป็นประชากรยุคประวัติศาสตร์ของไทย

เมื่อมองจากข้าวของเครื่องใช้ที่เห็นจากยุคประวัติศาสตร์ช่วงแรกๆ ในมุมมองของนักโบราณคดีเห็นว่าในบริเวณประเทศไทยปัจจุบันมีคนอาศัยอยู่นานแล้วตั้งแต่ ราว 5,000 ปี คือมีวัฒนธรรมที่เป็นต้นแบบของวัฒนธรรมปัจจุบันเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว และกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นราว 5,000 ปีมาแล้วนั้น มีการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนในพื้นที่ออกไป แล้วมีการย้ายข้าวของกลุ่มคนจากต่างพื้นที่เข้ามา กระบวนการเคลื่อนย้ายแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีการผสมผสานของวัฒนธรรมเกิดขึ้น



ที่มา:http://blog.eduzones.com/tambralinga/3941

ประวัติของไทย

          ประวัติและความเป็นมาของประเทศไทย



ประเทศไทยแต่เดิมมีชื่อว่า "ประเทศสยาม" หรือ "สยามประเทศ"
ดินแดนที่เป็นประเทศไทยส่วนใหญ่นับแต่บริเวณภาคใต้ไปจนภาคเหนือ อันเป็นเขต ป่าเขานั้น อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า กึ่งชุ่มชื้น และกึ่งแห้งแล้ง จึงเป็นบริเวณที่เหมาะสมแก่การตั้งหลักแหล่งของชุมชนมนุษย์ให้เป็นบ้านเมืองได้เกือบทั้งสิ้น
รัฐหรือแคว้นในดินแดนประเทศไทยในระยะแรกเริ่มส่วนใหญ่ เกิดขึ้นในบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณพุทธศตวรรษ ที่ 7-8 เรื่อยมา จนถึงพุทธศตวรรษที่ 15การย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานจึงเลือกเฟ้นและจำกัดอยู่ในบริเวณภูมิภาคดังกล่าว ที่มีความเหมาะสมทั้งในด้านเกษตรกรรมและการเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้ากว่าบริเวณอื่น ๆ ภาคอื่นซึ่งได้แก่ภาคเหนือและบริเวณอื่นที่ใกล้เคียงก็มีผู้คนอยู่เพียงแต่มีแต่เป็นชุมชนเล็ก ๆ กระจายอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เท่านั้น
กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถลงมา นับได้ว่ามีฐานะเป็นราชอาณาจักรสยามอย่างแท้จริงสิ่งสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นอาณาจักรสยามอย่างแท้จริง คือมีหลักฐานทั้งด้านพระราชพงศาวดารและกฎหมายเก่าตลอดจนจารึกและลายลักษณ์อื่น ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่ามีการปฏิรูปการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินที่รวมศูนย์แห่งอำนาจมาอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ ณ ราชธานีเพียงแห่งเดียว
นั่นก็คือ การยกเลิกการแต่งตั้งเจ้านายในพระราชวงศ์ เช่น พระราชโอรส พระราชนัดดา ไปปกครองเมืองสำคัญที่เรียกว่า เมืองลูกหลวง หรือหลานหลวง ตั้งแต่ก่อนออกกฎข้อบังคับให้บรรดาเจ้านายอยู่ภายในนครโดยมีการแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง ชั้นยศ ศักดิ์ และสิทธิพิเศษของแต่ละบุคคล ส่วนในเรื่องการปกครองหัวเมืองนั้น โปรดให้มีการแต่งตั้งขุนนางจากส่วนกลางไปปกครองเจ้าเมือง ขุนนาง และคณะกรรมการเมืองแต่ละเมืองมีตำแหน่ง ยศ ชั้น ราชทินนาม และศักดินา ลำดับในลักษณะที่สอดคล้องกับขนาดและฐานความสำคัญของแต่ละเมือง ส่วนเมืองรองลงมาได้แก่ เมืองชั้นโท และชั้นตรี ที่มีเจ้าเมืองมียศเป็นพระยาหรือออกญาลงมา บรรดาเจ้าเมืองเหล่านี้ไม่มีอำนาจและสิทธิในการปกครองและการบริหารเต็มที่อย่างแต่ก่อน จะต้องขึ้นอยู่กับการควบคุมของเจ้าสังกัดใหญ่ในพระนครหลวง ซึ่งประกอบด้วยฝ่ายทหารและพลเรือน
นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 20 ลงมา ผู้ที่เรียกว่าชาวสยามหรือเมืองที่เรียกว่าสยามนั้น หมายถึงชาวกรุงศรีอยุธยาและราชอาณาจักรอยุธยาในลักษณะที่ให้เห็นว่าแตกต่างไปจากชาวเชียงใหม่ ชาวล้านนา ชาวรามัญ ชาวกัมพูชา ของบ้านเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน
ที่ตั้งของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในทวีปเอเชียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในบริเวณพื้นที่ที่เรียกว่า "คาบสมุทรอินโดจีน" ซึ่งมีความหมายมาจากการเป็นคาบสมุทรที่เชื่อมต่อ คืออยู่ระหว่างกลางของดินแดนใหญ่ 2บริเวณ คืออินเดียทางตะวันตก และจีนทางตะวันออก โดยล้อมรอบไปด้วยเพื่อนบ้านใกล้เคียง คือ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และเพื่อนบ้าน ในเขตภูมิภาคคือ เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์
ภาษา
ประเทศไทยมีภาษาของตนเองโดยเฉพาะทั้งภาษาพูดและเขียนเป็นภาษาประจำชาติ เรียกว่า "ภาษาไทย" เราไม่ทราบแน่นอนว่าภาษาไทยกำเนิดมาจากแหล่งใด แต่เมื่อพบศิลาจารึกที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 1826 เป็นต้นมา ทำให้เราสามารถทราบประวัติและวิวัฒนาการของภาษไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ภาษาไทยมีลักษณะเฉพาะตัวเป็นภาษาที่มีระดับเสียง โดยการใช้วรรณยุกต์กำกับ คือมีเสียงวรรณยุกต์ รูป คือ ไม้เอก โท ตรี และจัตวา กำกับบนอักษรซึ่งปัจจุบันมีอักษรใช้ 44 ตัว แบ่งออกเป็นอักษรสูง 11 ตัว อักษรกลาง ตัว และอักษรต่ำ 24 ตัว มีสระ 28 รูป ซึ่งมีเสียงสระ 32 เสียง ประกอบคำโดยนำเอาอักษรผสมกับสระวรรณคดี ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง นั้นกวีได้นำคำมารจนาให้เกิดความไพเราะเพราะพริ้งได้ ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากลักษณะของภาษาไทย นั่นเอง
เมืองหลวง
กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย มีเนื้อที่กว้าง 1,549 ตารางกิโลเมตร เป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญต่าง ๆ ของชาติแต่เดิม กรุงเทพมหานคร มีฐานะเป็นจังหวัด ๆ หนึ่งเรียกชื่อตามราชการว่า จังหวัดพระนคร ต่อมาได้รวมกับจังหวัดธนบุรี ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งขวาแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับกรุงเทพฯ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 24 ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514 เป็นจังหวัดเดียวกันโดยเรียกชื่อใหม่ว่า นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335
รัฐบาลและการปกครอง
ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ประเทศไทยมีการจัดระเบียบการปกครองภายในประเทศอย่างเป็นระบบ มาช้านานแล้ว ซึ่งยังผลให้ประเทศไทยมีความเป็นปึกแผ่นและสามารถรักษาเอกราชมาได้จนถึงทุกวันนี้ การปกครองของไทยได้ปรับและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับกาลสมัย และเป็นไปตามความต้องการของประเทศชาติเสมอมา ทำให้วิธีดำเนินการปกครองแต่ละสมัยแตกต่างกันไป
สมัยสุโขทัย (พ.ศ. 1781 - 1981)
การปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก ผู้ปกครองคือพระมหากษัตริย์ คำนำหน้าของ พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยนั้นจึงใช้คำว่า "พ่อขุน"
สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2310)
เริ่มต้นเมื่อพระเจ้าอู่ทอง ทรงตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีเมื่อราวปี พ.ศ. 1893 คำที่ใช้เรียกพระเจ้าอู่ทองมิได้เรียก "พ่อขุน" อย่างที่เรียกกันมาครั้งสุโขทัย แต่เรียกว่า "สมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัว" พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเทวราชหรือสมมติเทพ เป็นองค์รัฐาธิปัตย์ ปกครองแผ่นดิน
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2325 - 2475)
ได้นำเอาแบบอย่างการปกครองในสมัยสุโขทัย และอยุธยามาผสมกัน ฐานะของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้อยู่ในฐานะเทวราชหรือสมมติเทพดังแต่ก่อน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรมีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ถึงแม้จะปกครองตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่มีลักษณะประชาธิปไตยแฝงอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น แทรกอยู่ในการปกครองพระมหากษัตริย์ทรงให้สิทธิเสรีภาพแก่ประขาชนในการดำรงชีวิต การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎร์ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการ ปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีศูนย์อำนาจการปกครองอยู่ที่ สถาบันสำคัญคือ สถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจในการออกกฎหมาย สถาบันบริหารซึ่งมีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร และสถาบันตุลาการซึ่งมีศาลสถิตยุติธรรมเป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่พิพากษาอรรถคดีในพระปรมาภิไธย
ศาสนา
ประเทศไทย มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ คนไทยสามารถนับถือศาสนาต่าง ๆ กันได้ แต่มีผู้นับถือศาสนาพุทธกว่าร้อยละ 90 คนไทยยังนับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และซิกซ์เป็นต้น รัฐธรรมนูญของไทยและกฎหมายอื่น ๆ ให้ความคุ้มครองในเรื่องการนับถือศาสนาเป็นอันดี ไม่ได้บังคับให้ประชาชนชาวไทยนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เป็นการเฉพาะ โดยถือว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนานิกายของศาสนา แม้ศาสนาต่าง ๆ จะมีแนวทางปฏิบัติและรายละเอียดบางประการที่แตกต่างกันแต่ก็มีหลักเดียวกันคือต่างมุ่งสอนให้ทุกคนประกอบความดี ละเว้นความชั่ว ทั้งนี้เพื่อความเจริญของบุคคลในทางร่างกาย และจิตใจ อันจะนำสันติสุขมาสู่สังคมส่วนรวม

ที่มา:http://www.school.net.th/library/create-web/10000/history/10000-8041.html

เมืองไทยในอดีต


















ภาพประวัติศาสตร์ไทยเมื่อ 100 กว่าปีก่อน 

ภาพถ่ายโดยพระบรมราชานุญาต ร.4 - ร.5 
 
ฉาย ณ เกย พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท พระบรมมหาราชวังในการพระราชพิธีโสกันต์ 

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของสยามประเทศ 

เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2433 

(117 ปีก่อน) 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยืนหันพระปฤษฎางค์ให้กล้องในการ พระราชพิธีโสกันต์ 

ณ เขาไกรลาส ในสวนขวา พระบรมมหาราชวัง มีน้ำตกบ่อน้ำ และสัตว์ส่วนหนึ่ง ที่มีคติความเชื่อว่า 

อยู่บนเขาไกรลาส ในป่าหิมพานต์ คือ ม้าราชสีห์ ช้าง และ โค สัตว์เหล่านี้หล่อด้วยโลหะและมีน้ำพุ่งออกจากปาก 

เพื่อสรงน้ำพระราชโอรส พระราชธิดาที่ทรงรับพระราชทานโสกันต์ เมื่อปี พ.ศ.2433 
(117 ปีก่อน) 

ช้างต้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีปกกระพองและภู่ขนจามรีห้อยหน้าหู 

พร้อมผ้าเยียรบับคลุมหลัง มีควาญคอและควาญท้าย ขณะเดินอยู่ในสวนสราญรมย์ 

ประมาณ พ.ศ.2411 (139 ปีก่อน) 

ภาพมุมสูงในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2429 ซึ่งเป็นวันที่ 4 ของการพระราชพิธีมหาพิไชยมงคล 

ลงสรงสนานรับพระปรมาภิไธย ในสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระราชกุมารพระองค์ใหญ่ 

(สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ) (121 ปีก่อน) 

สนามหลวงและวัดพระแก้ว 

พระราชวังบางปะอินได้ก่อสร้างขึ้นบนพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยเกาะกลางน้ำ มีสะพานลักษณะหลากหลาย เป็นทางเดินเชื่อมฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เช่น สะพานไม้ ที่ออกแบบให้เป็นลูกคลื่น เป็นที่พอพระทัยของเจ้านายองค์เล็กๆ 

เมื่อปี พ.ศ.2433 (117 ปีก่อน) 

ส่วนหนึ่งของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม บริเวณปราสาทพระเทพบิดร พระมณฎปซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฎก 

และพระศรีรัตนเจดีย์ ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พ.ศ.2423 (127 ปีก่อน) 

ซุ้มประตูยอดมงกุฎทางเข้าพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม หรือ วัดแจ้ง มีทวาราบาลยักษ์ คือ ทศกัณฐ์ด้านซ้าย และสหัสเดชะด้านขวา ปี พ.ศ.2410 (140 ปีก่อน) 

ภาพน้ำท่วมครั้งใหญ่ พ.ศ. 2485 สมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา 

อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย น้ำท่วม ตุลาคม2485 

กระทรวง สาธารณสุข น้ำท่วม ตุลาคม2485 

ภาพที่เห็นคือขบวนแห่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2468 

ภาพที่หายากภาพหนึ่ง 
พระบรมฉายาลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ฉายโดยช่างภาพชาวสกอต ชื่อ จอห์น ทอมสัน ซึ่งเดินทางมาสยาม เมื่อพ.ศ. 2408 

ขบวนแห่ในพระราชพิธีเดียวกัน 

สนามหลวง เมื่อปลายรัชกาลที่ 5 

ภาพสมัยรัชกาลที่ ๔ ขบวนเสด็จของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จไปทอดกฐินหลวง ณ วัดพระเชตุพน ถ่ายโดยชาวต่างประเทศ เมื่อ ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) 

กระทรวงกลาโหม 

ทหารไทยเมื่อ 100 ปีก่อนแต่งตัวกันอย่างนี้ 

บริเวณที่ทำการของ ยู.เอ็น. 

พระบรมฉายาลักษณ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อจะเสด็จโดยพระยานุมาศ ไม่ทราบวันเดือนปี และเหตุการณ์ ค่ะ แต่เห็นจากฉลองพระองค์ อาจจะเป็นวันบรมราชาภิเษก 

คลองในบางกอกเมื่อยามน้ำลง นึกถึงคลองมหานาคที่เคยเป็นตลาดน้ำใหญ่ของกรุงเทพฯ สะพานตรงกลางน่าจะเป็นสะพานรถไฟที่แล่นผ่านวัดบรมนิวาส (เอนก) 

บริเวณกรมอากาศยานตำบลดอนเมือง ถ่ายจากเครื่องบิน ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 6 ไม่ระบุวันเดือนปี เป็นภาพประกอบเรื่อง ?ความเจริญแห่งการบินกรุงสยาม? ในดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2466 ดุสิตสมิตให้ความรู้ว่า ทหารไทยนำเครื่องบิน 3 ลำแรกที่ซื้อจากฝรั่งเศส มาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2456 โรงเก็บเครื่องบินชั่วคราวอยู่ที่โรงเรียนพลตำรวจพระนครบาล ต.ปทุมวัน 
วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2457 ย้ายที่ตั้งกองบินจากปทุมวันไปตั้งที่ดอนเมือง 

กองทหารไทยในดินแดนเยอรมนี ภาพจากดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2466 
คือคราวที่ไทยส่งทหารอาสาไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2461  

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทกับบริเวณโดยรอบ ถ่ายจากเครื่องบิน ไม่ระบุวันเดือนปีและชื่อผู้ถ่าย 

คงอยู่ในช่วง พ.ศ. 2465 พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือที่เห็นมีสนามหญ้าวงรีเหมือนสนามฟุตบอลเล็ก ๆ 

อยู่ข้างหน้า มี 3 ยอด สร้างเมื่อต้นรัชกาลที่ 5 มองไปทางมุมซ้ายล่าง เห็นพระอุโบสถวัดพระแก้ว 

ถนนเหนือพระอุโบสถที่พาดเฉียงขึ้นไปคือถนนสนามชัย ขอบบนสุดคือพระอุโบสถวัดโพธิ์ 

ถนนทางขวาสุดเรียกว่าถนนมหาราช 
 

ที่มา:http://www.kroobannok.com/33451

เที่ยวในไทย(ต่อ)

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

          หมู่เกาะพีพีมีเกาะเด่น ๆ คือ เกาะพีพีดอนและเกาะพีพีเล
  
          เกาะพีพีดอน  เป็นเกาะที่สวยงามติดอันดับ 5 ของโลกด้วยอ่าวที่สวยงาม คือ อ่าวต้นไทรและอ่าวโละดาลัมที่อยู่ใกล้ชิดติดกัน คั่นกลางด้วยผืนดินแคบ ๆ เพียบพร้อมด้วยที่พัก ร้านค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว รอบเกาะมีแนวปะการังขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการอาบแดดเล่นน้ำทะเล ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอนยังมีเกาะไม้ไผ่และเกาะยุง  เกาะเล็ก ๆ ซึ่งงดงามด้วยหาดทรายขาวละเอียด แนวปะการังน้ำตื้น และสัตว์น้ำนานาชนิด เหมาะกับการดำน้ำตื้น

          เกาะพีพีเล อยู่ทางใต้ของเกาะพีพีดอน มีอ่าวที่สวยงามและมีชื่อเสียงระดับโลกจากภาพยนตร์เรื่อง The Beach คืออ่าวมาหยาที่มีหาดทรายขาวล้อมรอบด้วยผาหินสูงชัน เหมาะกับการเล่นน้ำ ดำน้ำ ไม่ไกลจากอ่าวยังมีถ้ำไวกิง ซึ่งมีภาพเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งเก็บรังนกนางแอ่น บริเวณเกาะบิดะนอกและเกาะบิดะในซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ใกล้กัน ยังมีผาหินใต้น้ำสูงชัน ถ้ำใต้ทะเล ปะการังอ่อน รวมทั้งสัตว์น้ำประเภทกุ้งขนาดเล็ก เหมาะกับการดำน้ำลึก

อันดับ 7 ภูชี้ฟ้า




         ภูชี้ฟ้า โต้ลมหนาวชมบรรยากาศยามอรุณรุ่งบนชะง่อนผาเสียดเมฆเหนือเทือกดอยสูง เป็นความประทับใจที่

          ภูชี้ฟ้าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่อิงฝั่งขวาและป่าแม่งาว ในพื้นที่บ้านร่มฟ้าทอง หมู่ที่ 9 และบ้านร่มฟ้าไทย หมู่ที่ 10 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย มีเนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 1,200-1,628 เมตร จุดสูงสุดคือบริเวณจุดชมทิวทัศน์ กรมป่าไม้ได้มีประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยานเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541


แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

          ภูชี้ฟ้า เป็นยอดเขาสูงทีสุดในเทือกเขาดอยผาหม่น สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,628 เมตร ด้านที่ติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นหน้าผาสูงชัน เป็นจุดชุมวิวที่สวยที่สุด ในฤดูหนาวจะมีทิวทัศน์สวยงามเป็นพิเศษ นักท่องเที่ยวส่วนมากจะมาค้างแรมบริเวณบ้านร่มฟ้าทอง ห่างจากจุดชมวิวประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก่อนจะเดินขึ้นภูชี้ฟ้าเพื่อไปชมทิวทัศน์ยามรุ่งอรุณในตอนเช้ามืด ซึ่งช่วงเดือนมกราคมบนเส้นทางจะพบดงนางพญาเสือโคร่งบานสะพรั่งสวยงาม และในช่วงเดือนกุมภานธ์รอบภูชี้ฟ้าต้นเสี้ยวดอกขาวจะออกดอกบานเต็มเชิงเขาตระการตา


อันดับที่ 8 เขาใหญ่




          เขาใหญ่ พงไพรมรดกโลก แหล่งต้นน้ำลำธารสารพันสัตว์ป่าน้อยใหญ่ น่าสนใจด้วยเส้นทางเดินป่าและนานากิจกรรมศึกษาธรรมชาติ


          อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย มีเนื้อที่ 2,165.55 ตารางกิโลเมตร  ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรักของดงพญาเย็นหรือดงพญาไฟในอดีต ประกอบด้วยขุนเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนหลายลูก อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่านานาชนิด เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญหลายสาย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในนามของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่-ผืนป่าดงพญาเย็น เมื่อปี พ.ศ.2548

แหล่งท่องเที่ยวที่นาสนใจ

          อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นผืนป่ากว้าง จึงมีกิจกรรมท่องเที่ยวให้เลือกหลากหลาย

          เที่ยวน้ำตก

          น้ำตกเหวนรก เป็นน้ำตกใหญ่และสูงที่สุดในอุทยานฯ น้ำตกผากล้วยไม้ น้ำตกเหวสุวัต น้ำตกกองแก้ว น้ำตกเหวประทุน นำตกเหวอีอ่ำ น้ำตกไม้ปล้อง น้ำตกวังเหว น้ำตกเหวจั๊กจั่น น้ำตกนางรอง น้ำตกธารทิพย์ น้ำตกแก่งกฤษณา น้ำตกตะคร้อ น้ำตกสลัดได น้ำตกส้มป่อย น้ำตกผาไทรคู่ น้ำตกผากระชาย น้ำตกผาด่านช้าง น้ำตกผามะนาวยักษ์ น้ำตกตาดตาภู่ น้ำตกตาดตาคง น้ำตกผากระจาย น้ำตกผาหินขวาง น้ำตกผารากไทร น้ำตกผาชมพู และน้ำตกผาตะแบก


          ดูสัตว์ป่า ทางอุทยานฯ ได้สร้างหอดูสัตว์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สังเกตและศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า มีอยู่ 3 แห่งด้วยกัน คือ หอดูสัตว์หนองผักชี อยู่กิโลเมตรที่ 35-36 ถนนธนะรัชต์ บริเวณหนองผักชี ซึ่งเป็นแห่งน้ำของสัตว์ป่า หอดูสัตว์มอสิงโต อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ประมาณ 500 เมตร บริเวณอ่างเก็บน้ำมอสิงโต รอบ ๆ มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าโล่ง หอดูสัตว์เขากำแพง อยู่ห่างจากหน่วยฯ คลองปลากั้งประมาณ 2 กิโลเมตร ในทุ่งหญ้าติดชายป่าเชิงเขากำแพง ยามเย็นจะมีฝูงกระทิงออกหากิน เห็นได้ชัดเจน

          นอกจากนี้ ยังมีการส่องสัตว์ คือการขับรถแล้วใช้ไฟส่องสัตว์ในเวลากลางคืนไปตามถนน สามารถติดต่อขออนุญาตได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือที่ทำการอุทยานฯ ก่อนเวลา 18.00 น. ทุกวัน

          ดูนก เขาใหญ่เป็นแหล่งดูนกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะพบนกมากกว่า 340 ชนิด ทั้งนกอพยพและนกประจำถิ่น เส้นทางดูนกจะอยู่บริเวณศูนย์บริการท่องเที่ยว-ค่ายพักกองแก้ว ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว-มอสิงโต สองข้างทางถนน บริเวณสนามกอล์ฟ (เดิม) ผากล้วยไม้-เหวสุวัต-ด่านช้าง-บึงไผ่ และเขาเขียว


          เดินป่าศึกษาธรรมชาติ เส้นทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยวน้ำตกกองแก้ว ระยะทางประมาณ 1,200 เมตร เส้นทางนี้จะปูด้วยอิฐตัวหนอน มีป้ายสื่อความหมายตลอดเส้นทาง นักท่องเที่ยวสามารถเดินเองได้

          เส้นทางเดินป่าประเภทไม่พักแรม การเดินป่าศึกษาธรรมชาติในเส้นทางเดินป่าประเภทนี้ ผู้ที่สนใจต้องติดต่อขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ก่อน ได้แก่ เส้นทางดงติ้ว-มอสิงโต ระยะทาง 2 กิโลเมตร ผ่านป่าดงดิบเลียบริมห้วย มีต้นสมพงขนาดยักษ์มีพูพอนสูงท่วมหัวคน เส้นทางสายดงติ้ว-หนองผักชีระยะทาง 4 กิโลเมตร ผ่านป่าดงดิบที่มีความหลากหลายของพืชพรรณ จนไปถึงหอดูสัตว์หนองผักชี เส้นทางผากล้วยไม้-เหวสุวัต ระยะทาง 3 กิโลเมตร ทางเลียบริมห้วย เส้นทาง กม. 33-หนองผักชี ระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ผ่านป่าดงดิบ ยังมีเส้นทางเดินป่าที่น่าสนใจคือ เส้นทางวังจำปี-หนองผักชีและเส้นทางกองแก้ว-เหวสุวัต

          เส้นทางเดินป่าประเภทท่องไพร เส้นทางเดินป่าระยะไกล ต้องมีการพักแรมในป่า โดยมากเป็นเส้นทางที่อยู่รอบอุทยานฯ ติดต่อเดินป่าได้ ณ ที่ทำการอุทยานฯ และหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ใกล้เคียงเส้นทางเขาสมอปูน ใช้เวลาเดินทาง 4 วัน 3 คืน เส้นทางคลองปลากั้ง ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน เส้นทางสะท้อน-แก่งยาว เดินทางแบบเช้าไป-เย็นกลับ หรือพักแรม 1 คืนก็ได้ เส้นทางโป่งตาลอง ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน เส้นทางกลุ่มน้ำตกในตำบลบุฝ้าย ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน

          ล่องแก่งหินเพิง แก่งหินขนาดใหญ่กลางแม่น้ำใสใหญ่ในเขตอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ในยามน้ำหลากราวเดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน ผู้ชื่นชอบความตื่นเต้นเร้าใจนิยมล่องเรือยางจากแก่งหินเพิงลงมายังหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ขญ. 9 อีกด้วย

อันดับ 9 เกาะช้าง

         
         
          เกาะช้าง เกาะใหญ่สมชื่อ เลื่องลือด้วยหาดทรายงามน้ำสวยใสกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเลหลากหลายและความสะดวกสบายที่ครบครัน


          เกาะช้างเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 45 ของประเทศไทยประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยมากกว่า 40 เกาะ รวมทั้งเกาะที่เป็นโขดหินกลางทะเลอีกจำนวนมาก ในท้องที่กิ่งอำเภอเกาะช้างและกิ่งอำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด ห่างจากฝั่งประมาณ 8 กิโลเมตร หมู่เกาะเหล่านี้มีหาดทรายที่ขาวสะอาด น้ำทะเลใสสวย และอุดมสมบูรณ์ด้วยสรรพชิวิตใต้ท้องทะเล โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง น่านน้ำทางตะวันออกของเกาะช้างได้เกิดการรบครั้งสำคัญในสมัยสงครามอินโดจีน โดยเรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรี ได้ทำยุทธนาวีกับเรือรบฝรั่งเศสจำนวน 7 ลำ ซึ่งนำโดยเรือลามอตต์ปีเกต์ และได้รับชัยชนะเมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2484


แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

          เกาะช้าง ในจำนวนกว่า 40 เกาะของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เกาะช้างเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ต มีธรรมชาติหลากหลาย ทั้งภูเขา ป่าไม้ น้ำตก หาดทราย ฝั่งตะวันตกของเกาะมีหาดทรายขาวสวยงามเรียงราย คือหาดทรายขาว หาดคลองพร้าว หาดไก่แบ้ หน้าหาดที่เกาะเล็ก ๆ คือ เกาะปลี เกาะหยวก น้ำใส มีแนวปะการัง เหมาะกับการดำน้ำสนอร์เกิล ฝั่งตะวันออกของเกาะเป็นแหลมและหาดเลน มีน้ำตกหลายแห่ง แต่จะสวยงามเฉพาะหน้าฝน คือ น้ำตกธารมะยมและน้ำตกคลองพลู ส่วนทางทิศใต้ของเกาะมีเกาะบริวาร 40 เกาะ เกาะที่สำคัญ ได้แก่เกาะง่าม เกาะหวาย เกาะกระ เกาะรัง ซึ่งมีแนวปะการังที่สวยงาม นอกจากนั้นยังมีน้ำตกคีรีเพชรอีกด้วย

อันดับ 10 ปาย




          อำเภอปาย เมืองเล็กในโอบกอดขุนเขาสูงใหญ่น่าสนใจด้วยบรรยากาศอันสงบงดงามและรายละเอียดที่ต้องใช้เวลาในการสัมผัส


          ปายเป็นอำเภอหนึ่งทางเหนือของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งขาวไทยและชาวต่างประเทศ ด้วยเสน่ห์ของเมืองน้อยกลางโอบล้อมของขุนเขา ท้องทุ่ง และสายน้ำ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและอากาศเย็นสบาย

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

          เมืองปายเป็นเมืองเล็ก ๆ กิจกรรมที่เหมาะสมที่สุดคือการเช่าจักรยานขี่ท่องเที่ยว ซึ่งนอกจากในตัวเมืองที่ใช้เวลาไม่นานก็เที่ยวได้ทั่วแล้ว ยังมีเส้นทางอื่นที่สวยงามและน่าสนใจ คือ


          เส้นทางน้ำตกหมอแปง ไปตามถนนลาดยางผ่านโรงพยาบาลปาย บนเส้นทางมีวัดหัวนางดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบไทยใหญ่ และวัดน้ำฮู ซึ่งประดิษฐานพระเจ้าอุ่นเมือง พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ภายในพระเศียรกลวง เปิดออกได้ และมีน้ำซึมออกมาตลอดเวลา เชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เลยต่อไปเป็นหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ บ้านสันติชล ผ่านหมู่บ้านลีซอเป็นถนนดินไปสุดทางที่น้ำตกหอมแปง น้ำตกขนาดเล็ก บรรยากาศร่มรื่นด้วยแมกไม้

          เส้นทางพระธาตุแม่เย็น-น้ำพุร้อนท่าปาย เริ่มจากสะพานราษฎร์ดำรงตรงไปประมาณ 2 กิโลเมตรถึงบ้านแม่เย็น มีบันไดขึ้นไปยังวัดพระธาตุแม่เย็น บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นเมืองปายได้ทั้งเมือง โดยจะงดงามเป็นพิเศษในยามพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก บนเส้นทางยังมีศูนย์วัฒนธรรมปายที่จัดให้มีการแสดงทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ทุกวันเสาร์ลัดเลาะไปตามทางขึ้นลงเขาอีกประมาณ 5 กิโลเมตร เป็น ปางช้าง บริการนั่งช้างเที่ยวป่า ยังมีบ่อน้ำพุร้อนท่าปาย ธารน้ำร้อนท่ามกลางร่มเงาแมกไม้ จากบ่อน้ำร้อนออกมา 2 กิโลเมตร จะออกสู่ทางหลวงหมายเลข 1095 เลี้ยวขวาจะพบสะพานเหล็กสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บนทางกลับเข้าเมืองมีกองแลน หรือปายแคนยอน
  
          เส้นทางวงรอบบ้านเวียงเหนือ-บ้านแม่ของ เริ่มจากสะพานราษฎร์ดำรง ข้ามสะพานไปเลี้ยวซ้ายตรงทางแยก เป็นเส้นทางที่ไม่มีสถานที่สำคัญ แต่ตลอดเส้นทางสวยงามด้วยบรรยากาศสองฟากฝั่ง ทิวทัศน์ของท้องทุ่ง แม่น้ำ และทิวเขา เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการขี่จักรยานท่องเที่ยวระยะไกล


ที่มา:http://travel.kapook.com/view5569.html  โดย  ภาคภูมิ  น้อยวัฒน์